บทที่ 1
“ให้ตายสิ..คุณชนะผมอีกแล้ว...!” ดยุค ออฟ แวสตาเกรอผุดลุกขึ้นจากโต๊ะ เหวี่ยงไพ่ในมือกระจายไปทั้งห้อง มันร่วงหล่นลงบนพรมปูพื้น เฟอร์นิเจอร์เดินลายทองเลิศหรูและบนโซฟาที่เบาะหุ้มด้วยกำมะหยี่สีแดงเข้มอลังการ
เพื่อนคู่หูหงายเก้าอี้ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“ท่านกำลังจะทำตัวเป็นขี้แพ้ชวนตีแล้วนะ ไทรดอน”
“ก็นี่มันสามคืนติดต่อกันแล้วนะที่คุณชนะผมมาตลอด” ดยุคตอบ “แล้วผมก็สาบานแล้วด้วยว่าจะไม่ยอมเล่นกับคุณอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม”
“นี่..ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือว่ามันมีคำกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่?” ร้อยเอกแปกีน แคริงตันถาม
“ไม่รู้..” ดยุคตอบห้วนๆ “และผมก็จะไม่ยอมเสียเงินซื้อความรู้ด้วย”
ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้แปกีน แคริงตันต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร..กระผมบอกให้ก็ได้ไม่คิดตั้งหรอก” เขาบอก “มันมีคำกล่าวอยู่ว่า คนที่โชคร้ายในเกม มักจะโชคดีในคดีในความรักเสมอละ”
ดยุคจ้องหน้าเพื่อนสนิทด้วยสายตาคมปลาบ เดินกระแทกเท้าปึงปังข้ามห้องไปกระชากหน้าต่างฝรั่งเศสบานหนึ่งที่เปิดออกสู่สวนไม้ดอกให้เปิดออก สายลมยามราตรีที่พัดผ่านเข้ามาปะทะใบหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นไอบริสุทธิ์สดชื่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ยังมีดวงไฟแสงสว่างจากตะเกียงดวงเล็กๆ จุดประดับอยู่ตามร่องไม้ดอกรายล้อมสระบัวและประดับอยู่ตามขอบทางเดินลงไปสู่ทะเลสาบเทียม แต่อาจจะเป็นเพราะน้ำมันหมด ตอนนี้ จึงเหลือโคมจีนเพียงไม่กี่ดวงที่ยังคงไกวแกว่งอยู่ในสายลม บ่งบอกถึงบรรยากาศของงานรื่นเริงที่จัดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำ
“ว่ายังไงล่ะขอรับท่าน?” แปกีน แคริงตันเอ่ยถามมาจากโต๊ะไพ่ “ว่ายังไงเรื่องอะไร?” ดยุคย้อนถาม หางเสียงยังบอกความขุ่นเคือง “คุณคิดว่าผมมีความสุขกับงานค่ำวันนี้นักหรือยังไง..โธ่เอ๊ย แปกีน..บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมาจิ้งจอกก็ไม่ปาน..! รู้เลยว่าเวลาที่ถูกตามล่าน่ะความรู้สึกมันเป็นยังไง..แล้วถูกตามล่าโดยใครรู้ไหม..ก็พวกแม่ๆ ทั้งหลายที่อยากจะจับคู่ผมกับลูกสาวที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของพวกเจ้าหล่อนนั่นแหละ..”
“ตอนนี้ พวกหล่อนก็กลับกันไปหมดแล้วละน่า..” แปกีนปลอบใจ “เมื่อสองชั่วโมงก่อน ท่านผู้หญิงยังเข้ามาแอบดูเราเลย กระผมเดาเอาว่าคงจะอยากจะเข้ามากล่าวราตรีสวัสดิ์กับท่านนั่นแหละ แต่พอดีเห็นท่านกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับไพ่ แถมหน้าตายังบูดบึ้งขนาดนั้น ท่านผู้หญิงก็เลยจำต้องถอยไปก่อน แต่ยังโบกมือลาให้กระผมด้วยนะขอรับ”
สีหน้าของดยุคบอกความละอายใจไม่น้อยเมื่อหันมามองเพื่อนรักเต็มตา
“อันที่จริง ผมก็คิดอยู่เหมือนกันนะว่าตัวเองควรจะสำนึกในบุญคุณของแม่ทูนหัว ที่เอาใจใส่ในตัวผมอย่างดีมาโดยตลอด” เขากล่าว “แต่มันยังไงไม่รู้...บอกไม่ถูกเหมือนกันนะแปกีน..คือจริงๆ แล้วผมยังไม่อยากแต่งงานตอนนี้เลย.. มันน่าเบื่อที่คนเราจะมานั่งคุยกันแต่เรื่องความหรูหราของปราสาทราชวัง เรื่องที่ต้องเป็นเจ้าภาพรับรองแขกเหรื่อในวงสังคมชั้นสูง..หรือในลอนดอนไม่หยุดหย่อน..คุณต้องเข้าใจ ว่าผมคือคนที่จะต้องอยู่กับผู้หญิงคนที่แต่งงานด้วยคนนั้นไปชั่วชีวิต ไม่ใช่แม่ทูนหัวของผม..! ผมไม่ต้องการให้ใครมาเป็นเจ้าชีวิต คอยแต่จะสั่งให้ผมทำโน่นทำนี่ตามบัญชาไปเสียทุกอย่าง..!”
“แต่ท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงดยุค..มันเป็นความจริงอีกประการหนึ่งที่ท่านควรจะต้องยอมรับนะขอรับ” แปกีนพูดด้วยน้ำเสียงว่าเริง
“ใช่ว่าผมอยากจะเป็นดยุคเสียเมื่อไหร่กันเล่า..ผมไม่เคยคาดหวังเลยนะว่าตัวเองจะต้องถือบรรดาศักดิ์นั้น ก็เพราะเหตุนี้ไงล่ะที่ทำให้ผมอยากจะออกไปสู้กับนโปเลียนด้วยมือเปล่าเสียนัก..ที่ผมต้องมาอยู่ในบรรดาศักดิ์นี้ก็เพราะว่านโปเลียนฆ่าญาติของผมต่างหาก..!”
“กระผมว่ามันออกจะแรงไปนิดหนึ่งนะ ไทรดอน” แปกีนพูดด้วยน้ำเสียงคร้านๆ “ท่านก็รู้ว่า ยังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่ยินดีจะสละแขนขวาเสียด้วยซ้ำ ขอแต่เพียงให้เขาได้มีบรรดาศักดิ์เช่นท่านในเวลานี้”
“ผมรู้...ผมรู้…” หางเสียงของดยุคแรงร้อน “ใช่สิ..ผมมันคนอกตัญญูนี่..นั่นน่ะเป็นสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่ใช่ไหมล่ะ..? เอาละ...ผมยอมรับ ว่าภูมิใจไม่น้อยที่ได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้หลังจากที่ต้องจมอยู่กับความยากจนมาเนิ่นนานหลายปีช่าย...ผมยอมรับ ว่ามีความสุขกับสมบัติพัสถานมาก รวมไปถึงตำแหน่งในราชสำนัก และการที่ผู้คนมากมายต้องรอฟังความคิดเห็นของผม..
“ท่านทำเสียงเหมือนเมธูเซล่าห์..ตาเฒ่าในหนังสือที่เราเคยเรียนที่อีตันไม่มีผิด” แปกีนพูดปนหัวเราะ
“และเวลานี้ผมก็ยังรู้สึกแบบเดียวกับตาเฒ่าคนนั้นด้วย” ดยุคพูดเสียงกร้าว “บอกตามตรงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมีความสุขกับยศถาบรรดาศักดิ์นี้มาก จนกระทั่งเมื่อมีใครมาช่วยคิดเรื่องการแต่งงานของผมขึ้นนั้นแหละ..ทุกคนต่างพูดเหมือนๆ กันหมดว่า..” ท่านสมควรจะต้องมีคุณหญิงเสียทีแล้ว..!”..“ภริยามีความสำคัญสำหรับคนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างท่านมาก..” “ท่านจะต้องออกรับแขกเหรื่อมากมายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคนโสดอย่างท่านทำไม่สำเร็จหรอก..” และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ไม่ใช่แค่นั้นนะตอนนี้ ยังมีดำริจัดงานปาร์ตี้ที่แสนจะน่าเบื่อขึ้นอีกแล้วก็ให้แม่พวกสาวๆ เดินเรียงแถวกันเข้ามาให้เลือก ทำราวกับผมเป็นสุลต่านที่เลือกเฟ้นนางบำเรอก็ไม่ปาน..!”
“ไม่ใช่เลย..ไม่ใช่..” แปกีนรีบกล่าวแก้ “กระผมว่าท่านกำลังทำตัวเป็นผู้ชราที่เข้าใจผิดเสียแล้วละ..พวกนางบำเรอที่สุลต่านเลือกน่ะ ไม่ได้เหมือนกับสุภาพสตรีทั้งหลายที่เราได้พบในคืนนี้เลยสักคน”
“ผมรู้หรอกน่าว่ามันไม่เหมือนกัน”
ทันใด อารมณ์ขันของดยุคก็กลับคืนมา เขาหงายศีรษะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆ กับเพื่อนรัก
“นี่...คุณเห็นแม่สาวคนที่ติดดอกกุหลาบขาวไว้บนผมหรือเปล่า..?” ดยุคถามปนหัวเราะ “เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นใครที่หน้าตาว่างๆ แบบนั้นมาก่อนเลย ขนาดนั้นแล้ว แม่ทูนหัวของผมยังจะบอกอีกว่า ผู้หญิงคนนี้แหละที่จะเป็นภรรยาที่ยอดเยี่ยมได้..ท่านบอกผมว่า..รับรองว่าเธอสองคนจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ดีมากทีเดียว นอกจากนั้นที่ดินผืนใหญ่ของพ่อเธอก็ติดอยู่กับที่ดินของแวสตาเกรอทางด้านเหนือด้วย”
“ซึ่งกระผมคิดว่าท่านคงไม่เห็นด้วยแน่..” แปกีนออกจะเห็นใจอยู่
“คงไม่หรอก..” คยุคตอบ “แต่มันก็ยังเหมือนเดิมอยู่ดีเวลาผมเต้นรำด้วยก็คอยแต่จะช้อนสายตามองหน้าผม แววในดวงตามันบอกความโลภอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้ว่าแต่ละคนจะต้องมองเห็นภาพตัวเอง ว่าจะสวยงามสักแค่ไหนถ้าได้สวมใส่เครื่องเพชรของตระกูลแวสตาเกรอ”
“กระผมว่าปัญหาของท่านอยู่ตรงที่ว่า ขณะนี้ ท่านเริ่มจะคิดมากเกินไปหน่อยแล้วละมัง”
“มันก็ไม่เชิงหรอกนะ” ดยุคตอบอย่างใช้ความคิด “ความจริงก็คือหลังจากที่ผมต้องทนอยู่กับสถานการณ์แบบนี้ถึงสองปี ผมว่ามันเกินพอแล้ว มันทำให้ผมเริ่มใช้ความคิด..คุณรู้ไหมว่า ขณะนี้ ผมอยากอยู่ที่ไหนมากกว่าที่อื่นใดในโลก?” ขณะพูด เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง
“ไม่รู้หรอก..ที่ไหนล่ะท่าน?” แปกีนถามอย่างใคร่รู้
“ผมอยากออกไปอยู่กับกองทัพในคาบสมุทรโน่น..นี่ผมถึงขนาดถามพรินนี่แล้วนะ ว่าผมขอกลับเข้าไปอยู่กับกองทัพได้หรือเปล่า?”
“แล้วเจ้าชายรับสั่งว่ายังไงบ้างล่ะขอรับ?” แปกีนย้อนถาม
“ก็..ทรงขุ่นเคืองพระทัยน่ะสิ” ดยุคตอบ “รับสั่งว่าถ้าพระองค์สามารถทำอะไรได้ตามพระทัย ซึ่งหมายถึงว่าถ้าทรงมีพระราชทรัพย์มากพอแล้วละก้อ จะทรงนำทัพกลับบ้านทันที พระองค์จะไม่ยอมให้ดยุคของพระองค์..ทรงใช้คำว่า..ดยุคของพระองค์จริงๆ นะ.. ต้องถูกจับเป็นเชลยศึกหรือถูกยิงกลิ้งโคโล่เหมือนทหารเลว แล้วก็ทำให้นโปเลียนเก็บเอามาอ้างว่าเป็นชัยชนะของตัวเองได้หรอก กริ้วเสียผมรอหน้าไม่ติดก็แล้วกัน”
“อันที่จริง ท่านก็น่าจะทราบอยู่แล้วว่าเจ้าชายไม่โปรดการสงครามเลย” แปกีนว่า “ผมเห็นจะพูดไม่ได้หรอกนะว่ามีใครบ้างที่ชอบสงครามเป็นชีวิตจิตใจ” ดยุคตอบ “แต่มาถึงวันนี้ คุณก็เห็นแล้วว่านโปเลียนเป็นจอมทัพที่น่ากลัวมาก ได้ยุโรปไว้ใต้ฝ่าเท้าแทบจะทั้งหมดแล้ว จะเหยียบขยี้เสียเมื่อไหร่ก็ได้”
“นโปเลียนไม่กล้าทำอะไรถึงขนาดนั้นหรอกขอรับตราบใดที่กองทัพเรือของคอลลิงวู้ดอยู่ที่นั่น..” แปกีนแสดงความคิดเห็น “ลองมาดูสิว่า ตอนนี้ เรามีอะไรอยู่ในมือ..เรามีเรือรบถึงแปดร้อยห้าสิบลำที่พร้อมจะเข้าประจัญบานจริงไหม..? กระผมว่านโปเลียนจะต้องไตร่ตรองอย่างหนักทีเดียวถ้าคิดจะบุกเข้ามาโจมตีเรา”
“เพราะฉะนั้น คำตอบสำหรับเรื่องนี้มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือเราต้องเป็นฝ่ายบุก..นั่นละคำตอบที่ถูกต้องที่สุด” ดยุคร้อง “แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ดี..ก็ดูเอาเถอะ แทนที่จะคิดเรื่องการศึกสงครามกลับต้องมานั่งคิดเรื่องแต่งงาน..!”
“แต่บางที..สองสิ่งนี้มันก็มีอะไรที่ใช้แทนกันได้อยู่เหมือนกันนะขอรับ” แปกีนยิ้มยั่ว
“ผมจะบอกอะไรให้นะ..เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มต้นคิดจะแต่งงานจริงจังมันก็เบื่อแทบตายแล้ว” ดยุคโต้กลับมาทันควัน “มา..เราไปกันเถอะ..ถ้าคุณแน่ใจว่าไม่มีสาวน้อยหน้าจืดคนไหนแอบอยู่ระหว่างทางเดินละก้อ เราขึ้นนอนกันดีกว่า”
คอนเทนต์ทุกเรื่องสามารถอ่านผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือได้ทั้งหมด