แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปสว่างวาบขึ้นพร้อมๆ กันทําให้ดวงตาพร่าเลือนไปครู่หนึ่ง ถ้าเพียงแต่เขากําจัดช่างภาพพวกนี้ไปเสียได้...
แต่คนพวกนี้ติดตามเขามาเป็นเวลานับเป็นเดือนแล้ว นับตั้งแต่มีการขุดค้นพบโบราณวัตถุชิ้นแรกในบริเวณเนินเขาอันแห้งแล้งทางตอนใต้ของกรุงไคโรแห่งนี้ มันคล้ายกับทุกคนต่างรู้กันอยู่ว่ามีอะไรบางอย่างที่กําลังจะเกิดขึ้น ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลอว์เรนซ์ สแตรทฝอร์ดค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ช่างภาพเหล่านั้นติดตามเขามาอย่างไม่ยอมลดละ เกะกะขวางทางจนเขาเกือบถูกชนล้มลงขณะเดินไปตามเส้นทางสายแคบๆ ระเกะระกะด้วยก้อนหินน้อยใหญ่สู่ประตูทางเข้าสร้างด้วยหินอ่อนและมีตัวอักษรจําหลักอยู่อย่างเห็นได้ชัด
แสงตะวันยามพลบค่ำดูเหมือนมืดสลัวลงในฉับพลัน เขาพอจะมองเห็นตัวอักษรที่รายเรียงอยู่บนแผ่นหินอ่อนแต่แสงสว่างมีไม่มากพอให้อ่านข้อความได้
“ซาเมียร์” เขาร้องบอก “ขอไฟหน่อยสิ”
“ได้สิลอว์เรนซ์” ครั้นแล้วแสงไฟจากคบเพลิงสว่างจ้าขึ้นทางด้านหลัง ภายใต้แสงสีเหลืองเขามองเห็นร่องรอยที่ถูกแกะสลักเป็นตัวอักษรได้อย่างชัดเจน มันเป็นจารึกตัวอักษรที่เรียกว่า ‘เฮียโรกลิฟฟิค’ ตัวอักษรภาพสีทองที่มีความคมกริบเด่นชัดและสวยงามยิ่งนัก เขาไม่เคยเห็นอะไรที่สามารถสร้างความติดตาตรึงใจได้เช่นนี้มาก่อน
เขาสัมผัสความอบอุ่นจากฝ่ามือของซาเมียร์ที่เอื้อมมาแตะแขนขณะเขาอ่านข้อความที่จารึกออกมาดังๆ
“เจ้าผู้เป็นโจรปล้นผู้วายชนม์ จงอย่าบังอาจรบกวนผู้เป็นเจ้าของสุสานแห่งนี้ด้วยความแค้นของข้ายังคงอยู่ ข้าคือรามเสสผู้เป็นอมตะ”
เขาหันมามองหน้าซาเมียร์ราวกับจะถามว่าข้อความนี้หมายถึงอะไร?
“แปลต่อไปสิลอว์เรนซ์ คุณแปลได้เร็วกว่าผมมาก”
“ข้าคือรามเสสผู้เป็นอมตะ ครั้งหนึ่งข้าคือฟาโรห์รามเสสผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ครอบครองทั้งอียิปต์สูงและอียิปต์ต่ำ เป็นผู้พิชิตพวกฮิตไตท์มาแล้ว ข้าคือผู้สร้างมหาวิหารทั้งหลาย ข้าคือผู้เป็นที่รักของประชาชนพลเมือง ข้าคือผู้พิทักษ์ฟาโรห์และราชินีทุกพระองค์ผู้ครองนครอียิปต์สืบมา ในปีที่พระนางคลีโอพัตราผู้ยิ่งใหญ่สิ้นพระชนม์ข้าฝากตัวเองไว้กับความมืดชั่วนิรันดร์กาล ผู้ใดที่กระทําให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามายังสุสานแห่งนี้...จงระวัง”
“ฟังดูไม่มีเหตุผลเลยนะ” ซาเมียร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฟาโรห์รามเสสผู้ยิ่งใหญ่ปกครองอียิปต์ก่อนหน้าพระนางคลีโอพัตราตั้งพันปีนะลอว์เรนซ์”
“ก็จริงอยู่หรอก แต่อักษรทั้งหมดนี่มันเป็นเฮียโรกลิฟฟิคสมัยราชวงศ์ที่สิบเก้าอย่างไม่ต้องสงสัย” ลอว์เรนซ์กล่าว เขาใช้เล็บขูดตรงแผ่นหินอ่อนระบายอารมณ์ “แล้วดูนั่นสิ ยังมีข้อความเดียวกันนี้เขียนไว้เป็นภาษาลาตินกับกรีกอีกด้วย” เขานิ่งอึ้งไปและอ่านข้อความที่จารึกไว้เป็นภาษาลาตินอย่างรวดเร็ว
“จงระวัง...ข้าขอเตือน...ข้านิทราอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เฉกเช่นพื้นพสุธาที่นิทราอยู่ใต้แผ่นฟ้าแห่งยามราตรีหรือหิมะแห่งฤดูหนาว แต่เมื่อใดก็ตามที่ข้าถูกปลุกให้ตื่นขึ้นข้าจะมิใช่ทาสของผู้ใด”
ลอว์เรนซ์ยืนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกครู่ใหญ่ได้แต่จ้องมองตัวอักษรที่เขากําลังอ่าน ได้ยินเสียงซาเมียร์พูดเบาๆ อยู่ข้างตัว
“ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย นี่มันเป็นคําสาปแช่งชัดๆ”
เมื่อลอว์เรนซ์หันหน้ามามองเขาเห็นสีหนี่เคยเปล่งแววแห่งความสงสัยของซาเมียร์บัดนี้เปี่ยมล้นด้วยความตื่นกลัว
“พระศพของฟาโรห์รามเสสผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในพิพิธภัณฑ์กรุงไคโรนะลอว์เรนซ์”
“ไม่ใช่หรอก” ลอว์เรนซ์ตอบ เขาสัมผัสความรู้สึกหนาวเย็นที่ค่อยๆ คืบคลานขึ้นมาตามต้นคอ “ที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงไคโรมีพระศพอยู่จริง แต่ไม่ใช่พระศพของรามเสสแน่...ลองดูรอยตราที่ผนึกไว้นี่สิ ในสมัยของพระนางคลีโอพัตราไม่มีผู้ใดสามารถเขียนอักษรเฮียโรกลิฟฟิคได้หรอกและนี่เป็นตัวอักษรภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งภาษาลาตินและภาษากรีกนี่ก็สมบูรณ์ด้วยเช่นกัน”
เฮ้อ...ถ้าเพียงจูลี่อยู่ที่นี่ด้วย...ลอว์เรนซ์นึกอย่างแสนเสียดาย จูลี่ลูกสาวของเขาไม่เคยหวั่นเกรงต่อภยันตรายใดๆ ทั้งสิ้น และถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้เธอย่อมเข้าใจถึงความสําคัญแห่งช่วงเวลานี้ได้ดียิ่งกว่าใคร
ตอนเดินกลับออกมาตามช่องทางเขาแทบสะดุดล้มลงอีกครั้ง พยายามโบกมือไล่พวกช่างภาพให้ออกไปให้พ้นทางเดิน แต่กระนั้นแสงแฟลชยังวูบวาบอยู่รอบตัว พวกผู้สื่อข่าวชิงกันวิ่งกรูเข้าไปยังประตูหินอ่อนแผ่นนั้น
“สั่งให้พวกคนงานลงมือทํางานต่อได้แล้ว” ลอว์เรนซ์ตะโกนออกคําสั่ง “ผมต้องการให้ทางเดินสะอาดราบเรียบไปจนถึงธรณีประตู ผมจะเข้าไปในสุสานคืนนี้”
“ลอว์เรนซ์ ผมว่าคุณน่าจะคิดทบทวนเสียก่อนนะ” ซาเมียร์เตือนด้วยน้ำเสียงกังวล “ผมว่าที่นี่ยังมีอะไรบางอย่างที่คุณไม่ควรมองข้ามไป
“ซาเมียร์ คุณกําลังทําให้ผมแปลกใจนะ เป็นเวลาถึงสิบปีแล้วที่เราสํารวจเนินเขาทุกแห่งในบริเวณนี้เพื่อค้นหาหลักฐานสําคัญชิ้นนี้ และเมื่อมาถึงเวลานี้คุณก็เห็นอยู่แล้วว่าตลอดเวลาสองพันปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครมาแตะต้องประตูนั่นเลยนับแต่วันที่มันถูกปิดตาย”
เขาผลักร่างนักข่าวคนหนึ่งที่พยายามจะเข้ามาสัมภาษณ์ผงะออกห่างด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง เวลานี้สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือเข้าไปรอเวลาเปิดประตูอยู่ในเต๊นท์เพียงคนเดียวเงียบๆ เขาต้องการบันทึกความรู้สึกตื่นใจที่กําลังบังเกิดลงไว้ในสมุดบันทึกประจําวันและเพิ่งรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการทํางานหนักมาตลอดทั้งวันเดี๋ยวนี้เอง
“ขอโทษเถอะครับ ผมขอร้องว่าอย่าเพิ่งถามอะไรคุณลอว์เรนซ์ตอนนี้เลย” ซาเมียร์บอกกับนักข่าวและช่างภาพซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง เขาทําหน้าที่นี้มานานแล้วคล้ายกับซาเมียร์เป็นกันชนตรงกลางระหว่างลอว์เรนซ์กับโลกอันแท้จริงภายนอก
ลอว์เรนซ์รีบรุดเดินลงไปตามเส้นทางขรุขระ รู้สึกปวดข้อเท้าอยู่บ้างแต่ก็ยังเดินต่อไป ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเมื่อมองเลยคบเพลิงที่ไหวระริกในแรงลมไปยังหมู่เต๊นท์ที่ตั้งรวมกันอยู่ภายใต้ความงามของท้องฟ้ายามตะวันรอน
สิ่งเดียวที่สร้างความขุ่นเคืองให้บังเกิดก่อนไปถึงเต๊นท์ส่วนตัวคือภาพของเฮนรี่หลานชายของเขาที่กำลังมองมาจากในระยะไกล เฮนรี่เป็นบุคคลเดียวที่ลอว์เรนซ์มีความรู้สึกว่าไม่ควรมาปรากฏตัวในแผ่นดินแห่งนี้ สีหน้าของหลานชายบอกความเบื่อหน่ายแม้จะอยู่ในสูทผ้าลินินสีขาวถือแก้วสก๊อตช์ไว้ในมือข้างหนึ่งและคาบบุหรี่เชอรู๊ทไว้ที่ปาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางระบําหน้าท้องชื่อมาเลนก้าคงติดตามเขามาจากไคโรด้วย ผู้หญิงคนนี้ยินดีทุ่มเงินทั้งหมดที่หล่อนหามาได้มาปรนเปรอชายหนุ่มผู้เป็นสุภาพบุรุษชาวอังกฤษของหล่อนอย่างไม่อั้น ลอว์เรนซ์ไม่มีวันลืมสิ่งที่เฮนรี่เคยทำไว้ แต่การที่เห็นหลานชายตามมาถึงที่นี่เป็นสิ่งที่เขาสุดทนรับได้
ในชีวิตที่มีแต่ความมั่งคั่งสุขสบายลอว์เรนซ์มีความคิดว่าเฮนรี่เป็นคนเดียวที่สร้างความผิดหวังให้กับเขาอย่างที่สุด เป็นหลานชายผู้ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของผู้ใดและอะไรทั้งสิ้นนอกจากการพนันกับขวดเหล้า เฮนรี่เป็นทายาทชายเพียงคนเดียวของตระกูลสแตรทฝอร์ดที่ร่ำรวยมหาศาลแต่ไม่สมควรได้รับความไว้วางใจแม้แต่ให้ถือธนบัตรราคาหนึ่งปอนด์
เขารู้สึกเปลบขึ้นมาในใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงจูลี่ลูกสาวสุดที่รัก เขาหวังเหลือเกินว่าเธอควรมาอยู่กับเขาที่นี่ในเวลานี้ และจูลี่คงมาแน่ถ้าคู่หมั้นไม่ห้ามปรามและขอร้องให้เธออยู่บ้าน
การที่เฮนรี่เดินทางมาอียิปต์ครั้งนี้เป็นเพราะเรื่องเงินทอง เขานําเอกสารของบริษัทมาให้ลอว์เรนซ์ลงนามด้วย แรนดอล์ฟพ่อของเฮนรี่จําเป็นต้องส่งลูกชายมาเพื่อให้ได้เงินจํานวนหนึ่งที่เฮนรี่ไปทําหนี้ไว้ เป็นพ่อลูกที่เหมาะสมกันเสียเหลือเกิน... ลอว์เรนซ์ครุ่นคิดอย่างเคร่งขรึม แรนดอล์ฟเป็นถึงประธานบริษัทเดินเรือสแตรทฝอร์ดที่เอากําไรทั้งหมดที่อุตส่าห์หามาได้ใส่ลงในกระเป๋าก้นรั่วของลูกชายคนเดียว แต่ถึงอย่างไรลอว์เรนซ์ก็ยังให้อภัยพี่ชายอยู่ดี เพราะเขาไม่เพียงมอบหมายกิจการทั้งหลายแหล่ให้แรนดอล์ฟดูแลเท่านั้นแต่ยังให้พี่ชายแบกภาระความรับผิดชอบทั้งหมดอีกด้วย เพื่อเขาจะได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดอุทิศให้กับงานขุดค้นสํารวจหาโบราณวัตถุอันเป็นงานที่เขารักได้อย่างเต็มที่
ถ้าจะพูดกันอย่างยุติธรรมแรนดอล์ฟบริหารกิจการงานของบริษัทเดินเรือสแตรทฝอร์ดอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด แต่นั่นก่อนที่ลูกชายจะทําให้เขากลายเป็นคนฉ้อฉลไปโดยไม่ตั้งใจ เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้แรนดอล์ฟต้องเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ลอว์เรนซ์ไม่ต้องการพาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานบริษัทอีก เขาไม่ต้องการเดินทางออกจากอียิปต์กลับไปกรุงลอนดอนและนั่งอยู่แต่ภายในสํานักงานของสแตรทฝอร์ดชิปปิ้งเท่านั้น แม้แต่จูลี่ยังไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้เขาเดินทางกลับบ้านได้ขณะนี้เฮนรี่มายืนรอเพื่อหาโอกาสเข้าพบเขาแล้ว แต่ลอว์เรนซ์ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต้อนรับหลานชาย เขาเดินตรงเข้าไปในเต๊นท์ส่วนตัวแล้วลากเก้าอี้มานั่งหลังโต๊ะทํางาน หยิบสมุดบันทึกปกหุ้มหนังที่อุตส่าห์เก็บงำไว้อย่างดีเพื่อเอาออกมาเฉพาะโอกาสพิเศษเช่นนี้ เขาเริ่มลงมือบันทึกข้อความที่จารึกหน้าประตูหินอ่อนลงในสมุดขณะที่มันยังสดใสอยู่ในความทรงจํา
“รามเสสผู้เป็นอมตะ” เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองดูชื่อนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสความหวาดกลัวที่บังเกิดกับซาเมียร์
ทั้งหมดนี่หมายความว่ายังไง?...
โปรดติดตามตอนต่อไป
คอนเทนต์ทุกเรื่องสามารถอ่านผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือได้ทั้งหมด