บทที่ 1 วัลลภา
ตอนนี้เวลาตีสี่สามสิบนาที ท้องฟ้าคงจะยังมืดสนิทล่ะมั้ง ฉันเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะทิวทัศน์จากหน้าต่างห้องของฉันมีแค่กำแพงอิฐที่อยู่ห่างไปสองเมตรเท่านั้น
ฉันกำลังยืนนิ่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกบานใหญ่เท่าตัวมนุษย์หนึ่งคนติดอยู่ มองพินิจเรือนร่างของตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมสีดำตรงประบ่าด้านหน้ายาวลงมาเสมอกันทุกเส้น ปิดลูกตาทั้งสองข้างไว้ครึ่งหนึ่ง แว่นตากรอบหนาที่ดูใหญ่เกินใบหน้า ร่างกายที่ผอมบางจนเห็นกระดูกซี่โครงบางๆ นูนออกมาก ปกคลุมด้วยผิวหนังสีซีดขาวราวกับศพไร้เลือดฝาด เสื้อกับกางเกงชั้นในสีขาวไม่มีลวดลาย โดยรวมสำหรับเด็กนักเรียนหญิงอายุ 15 ปีแล้ว
ไม่มีเสน่ห์เลย...
ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! ปึง!
“วัล! ไปวัดได้แล้วลูก!” เสียงแม่ดังสนั่นลอดประตูเข้ามา
ฉันมองไปทางประตูแต่ไม่ได้ตอบกลับ ไม่เกินสามวินาทีก็ได้ยินเสียงเท้าของแม่เดินห่างออกไป ใจจริงก็อยากจะแกล้งทำเป็นหลับต่อ แต่ก็รู้ว่าทำแบบนั้นคงไม่ดีแน่ๆ ฉันเอื้อมมือเข้าไปหยิบชุดนักเรียนสีขาวขุ่นในตู้เสื้อผ้ามาใส่ ขณะนั้นสายตาก็กวาดมองไปรอบห้องตัวเองอย่างไร้จุดหมาย โต๊ะอ่านหนังสือที่มีแต่หนังสือเรียนมือสองที่ผ่านการใช้งานจนยับเยิน เตียงที่เย็นชืดคลุมด้วยผ้าห่มลายการ์ตูนที่ฉันไม่รู้จัก กำแพงทุกด้านว่างเปล่าไร้สีสัน ประกอบกับหน้าต่างที่สามารถมองเห็นกำแพงข้างบ้านได้อย่างชัดเจนแล้ว
ห้องนี้มันน่าเบื่อไปซะทุกตารางนิ้วเลยนะ...วัลลภา
.............................
วันนี้เป็นวันศุกร์ ความจริงแล้วก็ไม่ใช่วันศุกร์ที่มีความสำคัญอะไรหรอก แต่การที่ต้องหอบของพะรุงพะรังเดินออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง บางทีมันก็สงสัยว่าฉันจะยังมีพลังงานเหลือพอที่จะใช้ผ่านวันนี้ไปได้รึเปล่า เพราะจริงๆ ระยะทางห้ากิโลเมตรระหว่างบ้านกับวัดมันก็ไกลพอสมควร แถมทั้งข้าวสวยและกับข้าวรวมกับกระเป๋านักเรียนน้ำหนักมหาศาลก็ยิ่งดูดกลืนพลังกายของฉันไปเรื่อยๆ
สภาพแวดล้อมนอกจากไฟถนนนั้นมืดสนิท จะเห็นก็แค่สีน้ำเงินไกลๆจากเส้นขอบฟ้า ไม่ว่าจะมองไปทางไหนรอบตัวก็มีแต่ความว่างเปล่า ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องปกติของจังหวัดบ้านนอกไร้ความเจริญแบบนี้
“แอ๊!!...แอ๊!! แอ๊!!....แอ๊!!”
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะลูกคนเก่งของแม่” เต็มแขนสองข้างของแม่มีน้องชายที่กำลังโวยวายจากการตื่นผิดเวลา แต่จะเรียกว่าน้องชายก็แค่ครึ่งเดียวล่ะนะ เพราะเป็นน้องชายจากการแต่งงานใหม่ของแม่น่ะ
ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าอย่างแม่เนี่ยจะสามารถแต่งงานใหม่ได้ จะว่ายังไงดี แม่ก็คล้ายๆกับฉันล่ะมั้ง ไม่สูง ไม่เตี้ย ไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่ขาว ไม่ดำ ไม่สวย แถมผมก็เริ่มหงอกแล้วด้วย ไม่เห็นน่าตื่นเต้นตรงไหน บางทีฉันก็คิดนะว่าผู้ชายที่สามารถมองแม่เป็นคนสวยได้นี่อาจจะมีอะไรผิดปกติก็ได้ หรือไม่ก็เป็นคนประเภทที่หมดหนทางแล้วจริงๆ
บรืนนน..นน.น....น.....
อืม... น่าจะเป็นอย่างหลังแหละนะ ผู้ชายที่ขับมอเตอร์ไซค์แซงฉันกับแม่ไปเมื่อครู่นั่นแหละ พ่อของน้องชายฉัน เขาชื่อ ‘ลุงจิต’ ทำงานเป็นยามในโรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่ ถามว่าทำไมถึงไม่ซ้อนมอเตอร์ไซค์กันไปวัดเหรอ? ก็คงต้องตอบว่าทำไมไม่ลองเอาคนสามคน เด็กหนึ่งคน ปิ่นโตกับข้าว แล้วก็กระเป๋าเรียน ขึ้นไปวางบนหลังมอเตอร์ไซค์ดูสิ ฉันว่าล้อมันคงหมุนได้ไม่เกินครึ่งรอบหรอก เราเลยตกลงกันว่าให้ลุงจิตเนี่ยแหละขี่มอเตอร์ไซค์ไปรอที่วัดเลย แล้วที่เหลือก็เดินเอา พอถวายของให้พระเสร็จก็ให้ฉันซ้อนลุงจิตไปโรงเรียน ส่วนแม่กับน้องก็เดินกลับบ้าน ก็ฟังดูเป็นแผนที่ดี...แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าเกิดว่า....เราไม่ต้องไปวัดเลยตั้งแต่ทีแรก แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก ก็วันนี้น่ะ...
เป็นวันที่หนึ่งของเดือนนี่นา...
วันหวยออก
.............................
“งวดนี้ขอเด็ดๆนะคะหลวงพ่อ นี่ถ้าถูกรางวัลใหญ่ๆล่ะก็ฉันจะสร้างกุฏิใหม่ให้พระทุกรูปในวัดนี้ ไอ้ศาลากลางวัดนั้นก็ดูเก่าแล้ว ทุบทิ้งเลยดีมั้ยคะ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วเดี๋ยวจะได้สร้างให้ใหม่ทีเดียวเลยค่ะ ทีนี้จะได้เขียนชื่อฉันเป็นผู้บริจาคตัวใหญ่ๆเอาให้ใหญ่กว่าบ้าน อัครเดช...โช...เดชโช....อัครเดชโชติสกุล!! โอ๊ย! นามสกุลบ้านนี้เรียกยากตายเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ในขณะที่แม่กำลังพูดเสียงดังเกินจำเป็นกับหลวงพ่อ แขนของฉันทั้งสองข้างก็ถูกพันธนาการไว้ด้วยน้องชายต่างสายเลือดที่ตอนนี้สลบไปแล้ว
ช่างน่าอิจฉาจริงๆ
แต่จิตใจของฉันนั้นลอยไปทั่ว ตอนนี้ดวงตาก็กำลังจ้องมองตัวอักษรบนผนังโบสถ์ นั่งอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง
บ้าน ‘อัครเดชโชติสกุล’
สร้างถวาย ‘วัดจิตผ่องใส’
พ.ศ. ๒๕๕๓
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงคิดว่านามสกุลบ้านนี้มันอ่านยาก ‘อัครเดชโชติสกุล’ จำง่ายจะตายไปแถมท่าทางจะมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ด้วย ไม่เหมือนกับนามสกุลของฉัน นามสกุลของฉัน....อะไรนะ....นั่นสิบางทีฉันก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน ก็ดูเหมือนว่าบนโลกนี้จะมีฉันที่ใช้นามสกุลนี้อยู่คนเดียว ทั้งแม่แล้วก็น้องชายก็เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของลุงจิตกันหมดแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียวที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ฉันคนเดียวที่ยังใช้นามสกุลของ....พ่อ
“ยัยวัล!”
“คะ!?”
“มาถวายข้าวให้พระสิ เหม่ออะไรอยู่” ลุงจิตพูด เบิกตาโพลงมองมาทางฉัน ด้านหลังแม่กวักมือเรียกฉันอย่างร้อนรนให้เข้าไปหาตนกับหลวงพ่อ แต่เนื่องจากทารกในอ้อมแขนทำให้ฉันคลานเข้าไปหาได้อย่างค่อนข้างลำบากหลวงพ่อเอาผ้าห่มมือไว้แล้วยื่นมาแตะๆถาดอาหารที่ฉันผลักไปให้อย่างทุลักทุเล
“เนี่ย ทำบุญเยอะๆ เข้าไว้ ชาติหน้าจะได้เกิดมาสบาย” แม่กระซิบบอก
ชาติหน้า...? นั่นสินะ...ทั้งหมดนี่ก็เพื่อชาติหน้า
ฉันแอบมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังครู่หนึ่ง(แน่นอน บ้านอัครเดชโชติสกุลถวาย)ตอนนี้เวลา 7.30 น. ต่อให้รีบบิดมอเตอร์ไซค์ออกไปตอนนี้ก็คงไปถึงโรงเรียนสายอยู่ดี ฉันตื่นตีสี่ครึ่งแท้ๆแต่ก็ยังไปโรงเรียนสาย ตลกร้ายจริงๆ แต่ถึงจะพูดไปก็คงไม่ช่วยอะไร ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของมันอย่างช้าๆ บทสวดที่ยาวเหยียดฟังไม่เข้าใจ น้ำที่กรวดจากขวดพลาสติกลงในแก้วเก่าๆ หลวงพ่อหยิบกิ่งไม้สีเขียวจุ่มลงไปในขันน้ำแล้วสะบัดใส่หน้าทุกคน ฉันมองภาพมือที่แตกกร้านของแม่กับลุงจิตลูบน้ำบนใบหน้านั้นชโลมไปทั่วทั้งหัว ละอองน้ำเย็นๆ สะบัดไปเข้าหน้าน้องชาย
“แอ๊!!...แอ๊!! แอ๊!!....แอ๊!!” น้องชายร้องไห้ความความตกใจ
ทุกคนยิ้มและหัวเราะด้วยความปีติ
ทุกคน ยกเว้น....ฉัน
.............................
คอนเทนต์ทุกเรื่องสามารถอ่านผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือได้ทั้งหมด