Chapter 1 คนตายที่ไม่ฟื้นคืน
ระหว่างคำสัญญากับคนเป็น และคำสัญญากับคนตาย
อย่างไหนสำคัญกว่ากัน
แล้วคนตาย...ยังต้องการคำสัญญาอีกหรือเปล่านะ?
ทางเดินปูด้วยกระเบื้องสีขาวหม่นทอดยาวเรียงลึกเข้าไปยังห้องโถง ไฟเปิดสว่างจ้าแต่บรรยากาศกลับมืดหม่น ภายในโถงที่มีคนอยู่สิบกว่าคนนั้น ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีใครสบตากัน
มันคือความเงียบงันที่มีบรรยากาศอบอวลไปด้วยความเจ็บปวด
หญิงและชายวัยกลางคนนั่งเคียงกันบนเก้าอี้บุนวมหน้าประตูกระจกฝ้าที่แทบมองไม่เห็นด้านใน พวกเขาร้องไห้สะอึกสะอื้นราวจะขาดใจ
“ฉันจะพาลูกกลับบ้าน ฉันไม่อยากทิ้งเขาไว้ในนั้น” คำพูดที่เปล่งออกมาสั่นเครือ
สายตาหลายคู่เฝ้ามองหญิงและชายทั้งสองสลับกับห้องกระจกฝ้าที่มีป้ายระบุไว้ว่า ‘ห้องละทุกข์’ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะก้าวเข้าไปนั่งลงข้างหญิงวัยกลางคนและซุกหน้าลงบนต้นแขนของเธอแม้ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรในตอนนี้
“ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย ก่อนหน้านี้ยังเจอกันอยู่เลย” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ จากทางเก้าอี้ด้านหลัง
“นั่นสิ ทั้งที่พวกเราเพิ่งสอบติด มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น แต่ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ทำไมถึงไม่เคยเล่าอะไรให้เราฟังบ้างเลย” อีกเสียงหนึ่งพูดด้วยความเศร้า
“บางทีคนเราก็มีเรื่องที่บอกใครไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”
“อืม ก็จริง”
บทสนทนาที่ทั้งตัดพ้อและปลงตกของคนกลุ่มหนึ่งดังแผ่วเบาเหมือนเสียงยุงบิน แต่ใจความของมันก็ตอกย้ำว่าพวกเขาทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต้องเผชิญหน้ากับความจริงให้ได้
ว่าแม้จะมีอนาคตที่ดีรออยู่ข้างหน้า แต่ใช่ว่าจะมีชีวิตอยู่จนได้เห็นมันเสมอไป
ทว่าคนเป็นแม่ที่สูญเสียลูกก็ไม่อาจรับมันได้ง่ายๆ เธอร้องไห้โฮขึ้นมาอีก เสียงร้องไห้ดังโหยหวนจนเจ้าหน้าที่เตรียมเอกสารการส่งศพหันมามองด้วยความเห็นใจ
“อย่าร้องเลยคุณ ลูกเราไปสบายแล้ว อย่าให้เขามีห่วงเลย” สามีปลอบ
“จะไปสบายได้ยังไง! ตายแบบนี้ อายุเท่านี้ มันสบายตรงไหน!?!”
เสียงที่แผดดังเพราะความโศกเศร้าสร้างบรรยากาศหม่นหมองให้กับทุกคนที่อยู่ในห้อง คนที่ซุกหน้าลงบนต้นแขนของหญิงวัยกลางคนก่อนหน้านี้เอื้อมมือไปบีบแขนเธอไว้แน่นแทนความรู้สึกมากมายที่พูดไม่ออก
“ขอเชิญญาติเข้าไปด้านในหน่อยครับ”
ประตูกระจกเลื่อนเปิด ชายร่างผอมในชุดเสื้อคลุมสีขาวเดินออกมาพร้อมแฟ้มเอกสาร สีหน้าของเขาสงบนิ่ง ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กันหลังเขาพูดจบ
“เอ่อ...เฉพาะญาติเท่านั้น เพื่อนรอด้านนอกก่อนนะครับ”
เป็นการแจ้งที่สั้น ห้วน และได้ใจความ ครอบครัวที่ถูกเชิญก้าวเท้าตามชายคนนั้นเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเหมือนกำลังก้าวขึ้นสู่ลานประหาร
ภายในห้องละทุกข์ไม่ได้เหมือนที่เคยเห็นในภาพยนตร์ ไม่มีเตียงเหล็ก ไม่มีช่องลิ้นชักเรียงราย หรือบรรยากาศน่าสะพรึงกลัว มันเป็นเพียงห้องรับรองขนาดเล็ก ด้านขวามีเคาน์เตอร์สำหรับติดต่องานเอกสาร หลังห้องด้านในสุดมีประตูบานคู่ขนาดใหญ่ที่มีป้ายติดเอาไว้ชัดเจนว่า ‘ห้องศพ’
ห้องศพ...ห้องดับจิต
เจ้าหน้าที่หนุ่มผายมือให้ทุกคนนั่งลง
“ผมรับลูกกลับไปได้แล้วใช่ไหมครับ พวกเราไม่ติดใจสงสัยอะไร ไม่อยากให้เขาอยู่ที่นี่นาน”
“คงยังไม่ได้ครับ ทางโรงพยาบาลจำเป็นต้องทำการระบุสาเหตุให้แน่ชัด ถึงจะอนุญาตให้ครอบครัวนำร่างกลับไปทำพิธีทางศาสนาได้ ด้วยพยาธิสภาพของผู้ตาย ผมต้องรอแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางนิติเวชมาตรวจสอบอีกสองท่าน เราต้องทำการผ่าชันสูตรเพิ่ม”
“ไม่! ใครบอกให้ผ่าลูกฉัน! ไม่เอา ฉันไม่ยอม ลูกฉันตายไปแล้วหมออย่างพวกคุณยังจะทำอะไรเขาอีก” หญิงวัยกลางคนตวาดทั้งน้ำตา
“คือว่า...” เจ้าหน้าที่หนุ่มเหลือบตาไปยังสมาชิกในครอบครัวอายุน้อย เขาลังเลที่จะพูดต่อแต่สุดท้ายก็ทนสายตาคาดคั้นจากคนเป็นแม่ไม่ได้จึงตัดสินใจพูดออกมา “ผมตรวจเจอบางอย่างบนร่างผู้ตาย นี่ครับ...มันเป็น...”
เพราะไม่รู้จะใช้ศัพท์ทางการแพทย์มาอธิบายอย่างไรให้คนที่สติเหลือน้อยเต็มทีเข้าใจได้ จึงหันไปเปิดไฟล์ภาพถ่ายสองสามภาพในแท็บเล็ตและหันให้ครอบครัวนี้ดู
มันคือภาพหลุมสีแดงขนาดใหญ่ เหมือนพื้นผิวของดาวอังคาร เหมือนบ่อที่มีโคลนเมือกสีแดง และเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเล็กๆ สีขาวยั้วเยี้ยนับร้อยคืบคลานอยู่ทั่ว
ดูเหมือนอะไรอีกหลายอย่างที่คนมองเพียงบางส่วนของภาพจะจินตนาการได้
อะไรก็ตาม ที่นอกเหนือจากร่างกายของคน
“นะ...นี่คือ” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น ขมวดคิ้วมองเจ้าหน้าที่หนุ่มอย่างไม่เข้าใจ พอหันไปมองสามี สามีก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความงงงวย
ไม่มีทางที่จะมีใครเข้าใจได้ในทันทีว่าภาพที่เห็นคืออะไร
จนกระทั่งได้ยินคำอธิบาย
ความโศกเศร้า เจ็บปวด และหวาดกลัวถาโถมขึ้นพร้อมกัน หูสองข้างอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงร้องปริ่มขาดใจของแม่และพ่อ ไม่ได้ยินคำพูดอธิบายเข้าใจยากของเจ้าหน้าที่ห้องดับจิต
ในสมองมีเพียงภาพของหลุมลึกสีแดงที่เต็มไปด้วยหนอนแมลงตัวเล็กขยับเคลื่อนไหวไปมา กระพือความรู้สึกที่เย็นเยือกให้ก่อตัวขึ้นภายในใจอย่างเงียบงัน
......................................
ซอยชุมชนชานเมืองตอนเช้าตรู่เต็มไปด้วยรถเข็นขายอาหารส่งควันหอมฉุย ผู้คนต่างซื้อหาอาหารเช้าให้ครอบครัวหรือไม่ก็ซื้อไปใส่บาตรทำบุญ
วัยรุ่นคนหนึ่งรูปร่างผอมก้าวลงจากรถจักรยานที่จอดไว้หน้าร้านสะดวกซื้อก่อนตรงไปยังโต๊ะขายอาหารชุดสำหรับใส่บาตร ใบหน้าซ่อนความอิดโรยไว้ภายใต้หน้ากากผ้าสีดำ
เมื่อหยุดอยู่หน้าร้าน หญิงสูงวัยซึ่งกำลังจัดวางขวดน้ำใส่ถุงก็เงยหน้าขึ้นยิ้ม
“มาใส่บาตรอีกแล้วเหรอจ๊ะ วันนี้มาสายนะ หลวงตากำลังจะกลับพอดี รีบไปเถอะ”
ระหว่างที่ยื่นมือออกไปรับถุงอาหาร สายตาก็เหลือบไปเห็นพระกำลังให้พรชาวบ้านห่างออกไปที่มุมตึกเกือบห้าสิบเมตร
คงต้องรีบแล้ว...
ฝีเท้าก้าวยาวๆ อย่างเร่งรีบ มือขวาถือถุงอาหาร มือซ้ายหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ก่อนจะชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยแล้วถ่ายคลิปตัวเองกับถุงอาหารใส่บาตร โดยมีหลวงตาที่ยืนอยู่ลิบๆ เป็นฉากหลัง
‘ใส่บาตรแล้วนะ วันนี้ตื่นสาย กำลังรีบเดี๋ยวไม่ทันพระ’
คลิปสั้นๆ ถูกโพสต์ลงไปในไลน์กลุ่ม ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการลงคลิปในลักษณะคล้ายกันเอาไว้ ไม่ถึงสามวินาที ข้อความก็ถูกอ่านจากเกือบทุกคน และต่างก็ส่งสติกเกอร์กลับมา
‘วันนี้ครบเจ็ดวันแล้ว’ ข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมา
มันทำให้มือที่กำลังจะพิมพ์บางอย่างชะงักค้าง ดวงตาบวมเป่งหรี่ตา ไม่รู้ว่าใบหน้าใต้หน้ากากผ้ากำลังแสดงสีหน้าอย่างไร
ร่างนั้นจ้องหน้าจอโทรศัพท์ ปากพึมพำบางอย่างที่ทำให้มือสั่นจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
มันคือการเริ่มต้น
แทนที่จะรีบเข้าไปหาพระสงฆ์ซึ่งกำลังจะเดินกลับวัด ทางที่เดินไปกลับเป็นทิศทางตรงกันข้าม มองเห็นถังขยะขนาดใหญ่ของเทศบาลอยู่ห่างไปไม่มาก
ถุงซึ่งบรรจุข้าวสวย อาหารคาว ขนมหวานและน้ำดื่ม ไม่ได้ถูกโยนทิ้งลงในถังขยะ แต่กลับคล้องลงบนแฮนด์ของรถซาเล้งขายของเก่า ในขณะที่เจ้าของรถกำลังก้มหน้าก้มตาคุ้ยเลือกขวดน้ำพลาสติกออกมาจากกองขยะ
ของสิ่งหนึ่งสำหรับบางคนอาจไม่สำคัญ แต่กับบางคน มันคือสิ่งสำคัญยิ่งชีวิต
ดวงตาอิดโรยเหลือบมองพระสงฆ์ที่เดินห่างไปไกลมากแล้ว มือสองข้างกำแน่น ขอบตาร้อนผ่าว
“คำสัญญา สำหรับบางคน มันก็แค่คำโกหกเท่านั้น”
คอนเทนต์ทุกเรื่องสามารถอ่านผ่านแอพพลิเคชั่นมือถือได้ทั้งหมด